หุ่นยนต์ในอนาคต
“หุ่นยนต์” (ROBOT) หนึ่งในเทคโนโลยีจักรกลที่มนุษย์ได้พัฒนาสร้างสรรค์ เพื่อเป็นผู้ช่วยคอยทำงาน ที่มนุษย์อาจมีข้อจำกัดที่จะสามารถทำเองได้ โดยรับคำสั่งผ่านการควบคุมจากมนุษย์ รวมถึงเป็นการต่อยอดนำเทคโนโลยีมาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของประชากรบนโลกใบนี้
โดยปัจจุบันได้มีการพัฒนาหุ่นยนต์ในรูปแบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ทำให้จักรกลยุคนี้มีความล้ำหน้าจากการพัฒนาของมนุษย์ มีความสามารถเลียนแบบได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ โต้ตอบสนทนาเสมือนเป็นเพื่อนคุย ซึ่งปัจจุบันก็ได้พัฒนานำไปใช้ในหลายวงการ อาทิ ด้านการแพทย์ ด้านงานวิจัยสำรวจ ด้านอุตสาหกรรม ด้านความบันเทิง หรือแม้แต่พัฒนาเพื่อใช้ในบ้านเรือน
ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อปี 2497 ประเทศไทยก็มีหนึ่งในความภาคภูมิใจในด้านหุ่นยนต์ กับ “หุ่นยนต์คุณหมอพระราชทาน” ซึ่งทรงสร้างขึ้นจากพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รับสั่งให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ (ซึ่ง เดิมคือ วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ) สร้างหุ่นยนต์คุณหมอพระราชทานขึ้นมา
ทั้งนี้ หุ่นยนต์คุณหมอพระราชทาน เป็นหุ่นยนต์ตัวแรกของโลกที่มีรูปร่างคล้ายคน ขนาดเท่าคนจริง และแต่งกายแบบหมอ โดยมีส่วนอุปกรณ์หลัก เช่น เครื่องรับส่งและเครื่องบังคับวิทยุจะอยู่ที่ท้องของหุ่นยนต์ โดยมีสายพานที่บริเวณเท้า ทำให้หุ่นยนต์สามารถเดินได้ ยกมือไหว้ พูด ฟัง และโต้ตอบได้ ซึ่งหุ่นยนต์คุณหมอพระราชทาน ถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของหุ่นยนต์ในประเทศไทย
วันนี้ “ทีมเศรษฐกิจ” ขออนุญาตหยิบยกตัวอย่างหุ่นยนต์ ที่พัฒนาโดยฝีมือ “คนไทย” ว่าจะมีความสามารถเก่งกาจมากน้อยเพียงใดมาให้ท่านผู้อ่านได้รู้จัก และภาคภูมิใจว่าประเทศไทยเราก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก
น้องแสนดี (SAN:DEE)
หุ่นยนต์รูปทรงกระบอกแสนน่ารัก ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย ที่สำคัญเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการนำเทคโนโลยีมาผนวกเข้ากับการอยู่อาศัย หรือในวงการอสังหาฯ เรียกว่า “พร็อพเทค” นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย
“น้องแสนดี” ได้โชว์ตัวอย่างเป็นทางการช่วงกลางปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งก็สร้างความฮือฮาไม่น้อย เพราะแสนดีถือเป็นหุ่นยนต์ตัวแรกในเอเชีย ที่นำมาใช้ในวงการอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ หน้าที่ของแสนดี คืออำนวยความสะดวกบริการส่งพัสดุ จดหมาย ถึงหน้าห้องลูกบ้าน ที่พักอาศัย ซึ่งก็มีข้อดีแฝงอยู่ในเรื่องความปลอดภัย โดยป้องกันไม่ให้คนแปลกหน้าเดินขึ้นไปส่งของโดยตรงให้ลูกบ้าน
มาถึงเรื่องคุณสมบัติกันบ้าง โดยแสนดีจะมีระบบเซ็นเซอร์รอบตัว ทำให้สามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ขึ้น–ลงอาคารได้โดยใช้ลิฟต์โดยสารผ่านระบบ WIFI ด้วยตนเอง โดยการเขียนโปรแกรมใส่แบบแปลนของโครงการนั้นๆให้แสนดีจดจำเส้นทางการเดิน
ในส่วนบริเวณลำตัวออกแบบให้มีช่องใส่ของทั้งหมด 3 ชั้น สามารถส่งของได้ครั้งละ 3 ห้องภายในหนึ่งเที่ยว ซึ่งใช้เวลาในการส่งประมาณ 5-10 นาที โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 1.5 เมตรต่อวินาที
ในส่วนบริเวณลำตัวออกแบบให้มีช่องใส่ของทั้งหมด 3 ชั้น สามารถส่งของได้ครั้งละ 3 ห้องภายในหนึ่งเที่ยว ซึ่งใช้เวลาในการส่งประมาณ 5-10 นาที โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 1.5 เมตรต่อวินาที
นอกจากนี้ แสนดียังรองรับน้ำหนักสิ่งของได้ถึง 80 กิโลกรัม แถมยังอึดทำงานต่อเนื่องนานถึง 10 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อทำงานเสร็จระบบจะสั่งการให้กลับมายังที่ชาร์จไฟแบบอัตโนมัติ โดยลูกบ้านที่ต้องการใช้บริการก็สามารถเรียกผ่านแอพพลิเคชั่น Sansiri Home Service Application ได้เลยสำหรับลูกบ้านแสนสิริ
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้นี้ทีมงานที่ดูแลน้องแสนดี แอบกระซิบด้วยว่า จะพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในด้านความปลอดภัย โดยอาจจะเป็นการติดกล้องเพิ่มให้แสนดีมีระบบเตือนและตรวจจับหากพบสิ่งผิดปกติ ซึ่งอาจนำมาปฏิบัติหน้าที่ใช้แทนทีมรักษาความปลอดภัย
ปัจจุบันน้องแสนดีมีอยู่จำนวน 2 ตัว ประจำการอยู่ที่สำนักงานใหญ่แสนสิริ เพื่อเป็นตัวโมเดลในการทดลองและพัฒนาฟังก์ชันต่างๆ อีกตัวให้บริการที่โครงการเดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า คอนโดมิเนียมลักซ์ชัวรี่ ซึ่งในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ทางแสนสิริมีแผนจะนำแสนดีไปให้บริการในโครงการอื่นๆเพิ่มเติมด้วย
น้องแมงมุม (Sevy Bot)
หุ่นยนต์ที่คอยให้การต้อนรับและโชว์ตัวอยู่ที่เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาโรงเรียนสาธิตปัญญาภิวัฒน์ ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งถือเป็นสาขาแฟลกชิปสโตร์ ซึ่งจุดเด่นของสาขานี้โดดเด่นในเรื่องของเทคโนโลยี เน้นตอบโจทย์ Customer Lifestyle ยุค 4.0 ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีที่ว่าก็มีเจ้าหุ่นยนต์ “น้องแมงมุม” เป็นไฮไลต์สำคัญของร้านเซเว่นฯสาขานี้
โดยหุ่นยนต์แมงมุมเป็นการพัฒนาขึ้นโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับนักศึกษาคณะวิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) ด้านความสามารถของน้องแมงมุม ตอนนี้คือคอยทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับ และดูแลทักทายลูกค้าภายในร้าน โดยสามารถโต้ตอบและสื่อสารกับลูกค้าได้ พร้อมมีจอมอนิเตอร์บนตัวที่สามารถแสดงโปรโมชั่นให้ลูกค้าทราบอีกด้วย
นอกจากนี้ น้องแมงมุมยังมีความพิเศษอีกคือ การพัฒนาระบบในการจ่ายไฟผ่านรางที่มีอยู่รอบร้าน เพื่อให้สามารถเข้าไปทักทายลูกค้าได้ทั่วทั้งร้าน และยังสามารถใช้งานได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องหยุดการทำงานเพื่อชาร์จพลังงาน ซึ่งทางซีพีออลล์ได้มีการจดสิทธิบัตรรูปแบบในการจ่ายไฟในลักษณะนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว
งานนี้ซีพีออลล์ยังบอกด้วยว่า จะมีแผนขยายโมเดลสาขาแบบนี้เพิ่มอีกในอนาคต ซึ่งก็ต้องรอดูผลตอบรับจากสาขาแรกก่อนที่เพิ่งเปิดให้บริการเป็นทางการไปช่วงเดือน ธ.ค.2560 ซึ่งคาดว่าในปีนี้น่าจะได้เห็นสาขาที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้อีกประมาณ 2 แห่ง
หุ่นยนต์ทอดไข่
อีกหนึ่งความสำเร็จของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กับสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ที่โชว์นวัตกรรมสุดล้ำพัฒนาหุ่นยนต์ทอดไข่ สู่สายตาประชาชนไปเมื่อช่วงเดือน มี.ค.ปีที่แล้ว
โดยหน้าตาของเจ้าหุ่นยนต์ทอดไข่ จะมีลักษณะเป็นแขนของมนุษย์ ซึ่งหยิบจับสิ่งของได้อย่างทะมัดทะแมง ไม่ว่าจะเป็นตัวกระทะ ไข่ เครื่อง เคียง ผักต่างๆ เปิดเตาไฟฟ้า
ที่สำคัญยังมีไฮไลต์สามารถกระดกพลิกกลับหน้าไข่ได้ ซึ่งเป็นความสามารถที่มนุษย์หลายคนยังทำไม่ได้ การเขย่ากระทะเพื่อให้ไข่สุกทั่วถึง ถือเป็นการแกะรายละเอียดเลียนแบบพฤติกรรมจากการทอดไข่จากฝีมือมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
ทั้งการสั่งการก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เมื่อปลายนิ้วสัมผัสผ่านแอพพลิเคชั่น สามารถเลือกเป็นเมนูได้ว่าจะทานไข่เจียวอะไร อาทิ ไข่เจียวธรรมดา ไข่เจียวพริก ไข่เจียวหอมแดง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตทางซีพีเอฟก็จะมีการพัฒนานวัตกรรมแบบนี้เพิ่มขึ้น โดยจะเน้นนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องการควบคุมด้านความปลอดภัยสูง
น้องดินสอ (DINSOW)
หุ่นยนต์สัญชาติไทยแท้ ที่พัฒนาคิดค้นโดยฝีมือคนไทย ที่มองต่าง คิดต่าง จนเห็นโอกาสในการพัฒนา “หุ่นยนต์ดินสอ” ขึ้นมา กับ บริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่รวบรวมนักวิศวกรรมด้านหุ่นยนต์ระดับหัวกะทิของเมืองไทยไว้ที่นี่
น้องดินสอถูกพัฒนาขึ้นจากความคิดที่ว่าอยากให้เมืองไทยมีบริษัทที่ผลิตหุ่นยนต์แบบจริงจัง โดยเริ่มแรกก็มีความท้าทายมากในด้านการทำการตลาดในประเทศ เนื่องด้วยนิสัยคนไทยส่วนใหญ่ยังเชื่อใจไว้ใจผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศอยู่ และยิ่งเป็นผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยี หากเป็นแบรนด์ไทยก็จะได้รับการตอบรับที่ดียากขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ ในด้านการพัฒนาก็มีการพัฒนามาหลายรุ่น ซึ่งปัจจุบันก็เป็นดินสอรุ่น 3 และก็มีในส่วนของน้องดินสอ มินิ ที่เน้นการดูแลผู้สูงอายุเป็นหลัก และเหตุที่หุ่นยนต์ดินสอออกแบบให้มีใบหน้าเป็นจอ ก็เพราะเกิดจากไอเดียที่ว่าลูกค้าที่ซื้อหรือเช่าไป สามารถโชว์โฆษณาหรือผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งจะสามารถดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี ซึ่งในช่วงแรกที่ผลิตออกมาจะมีบริษัทจัดอีเวนต์เช่าไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ได้เงินในส่วนนี้มาบริหารงานต่อ
สำหรับด้านความเก่งกาจของน้องดินสอ มินิ ที่ดูแลผู้สูงอายุ ก็มีความสามารถติดตามพฤติกรรมการนอน การขยับตัว ผ่านระบบเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งในตัวหุ่น ซึ่งหากไม่ขยับตัวนานจะมีการแจ้งเตือนอัตโนมัติไปยังสมาร์ทโฟนผ่านแอพพลิเคชั่น โดยลูกหลาน หรือแพทย์ สามารถรู้ความผิดปกติได้ทันที
ทั้งยังมีคุณสมบัติการวัดชีพจร วัดการเต้นหัวใจ แจ้งเตือนการกินยา และเก็บประวัติการรักษา นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันสร้างความบันเทิง ชวนสวดมนต์ ออกกำลังกาย และฟังเพลง ให้ผู้สูงอายุได้คลายเครียดด้วย
สำหรับ “น้องดินสอ มินิ” ได้สร้างความมั่นใจในเรื่องความสามารถและคุณภาพ กับการบุกตลาดวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อในวงการพัฒนาหุ่นยนต์ โดยในอนาคตก็จะขยายไปในประเทศอื่นๆเพิ่ม ทั้งนี้ ก่อนหน้าก็มีรุ่นพี่อย่างดินสอรุ่น 3 ไปเสิร์ฟอาหารที่ประเทศสวีเดนด้วย ในส่วนเมืองไทยตอนนี้ก็ได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะสถานพยาบาล
หุ่นยนต์โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ
หุ่นยนต์ที่ออกแบบลักษณะเป็นผู้หญิง ที่เวลาผู้ป่วยหรือคนไข้ เดินทางไปโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะก็จะพบเจอ โดยทางโรงพยาบาลได้ไว้ใช้ต้อนรับ รวมถึงส่งเอกสารภายในระหว่างแผนกภายในโรงพยาบาล ถือเป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยแบ่งเบาภาระของบุคลากรภายในโรงพยาบาล รวมถึงยังช่วยสร้างสีสันให้กับคนไข้หรือผู้พบเห็นได้อีกด้วย
ขณะที่ตัวหุ่นยนต์จะเคลื่อนที่ผ่านระบบรางที่ติดตั้งไว้บนพื้น มีระบบเซ็นเซอร์หากมีคน หรือสิ่งกีดขวางก็จะหยุดเพื่อให้สิ่งนั้นเคลื่อนผ่านไปก่อน นอกจากนี้จุดเด่นที่ทำให้ผู้พบเห็นถึงขั้นเหลียวหลังมามอง คือการตกแต่งหุ่นยนต์ด้วยชุดที่ดึงดูด ซึ่งปัจจุบันสวมใส่ชุดไทย ตามช่วงเทศกาลมหาสงกรานต์ของไทย
ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลได้อยู่ในขั้นตอนทดลองระบบ เพื่อพัฒนาให้บริการที่สมบูรณ์แบบ ในอนาคตก็จะเพิ่มฟังก์ชันความสามารถให้มากกว่านี้ ปัจจุบันโรงพยาบาลมีหุ่นจำนวน 3 ตัว ไว้รอให้บริการนี่คงเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถคนไทย ที่คิดลงมือทำอะไรก็ไม่แพ้ชาติใดๆ ซึ่งก็พิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนานำเทคโนโลยีมาต่อยอด สร้างเป็น “หุ่นยนต์” ทั้งไว้เป็นผู้ช่วยดูแล หรืออำนวยความสะดวกให้มนุษย์ สามารถเกิดขึ้นได้จริง.
อ้างอิง
https://www.thairath.co.th/content/1257812
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น